ตอนนี้คงไม่มีกระแสข่าวอะไรที่หนักหนาไปกว่า Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีน ที่สร้างความฮือฮาอย่างสูงด้วยกลยุทธ์การขายสินค้าราคาถูก ทำให้สามารถดึงดูดผู้บริโภคจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว
เรามารู้จักแบรนด์อีคอมเมิร์ชน้องใหม่นี้ก่อนดีกว่า เพราะ Temu เป็นแพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์จากประเทศจีน ที่ตอนนี้เริ่มเข้ามาบุกตลาดไทย อยู่ในเครือเดียวกับ Pinduoduo บริษัทค้าปลีกออนไลน์จากจีน คู่แข่งตัวฉกาจกับ Alibaba โดย Temu นั้นก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2022 ที่สหรัฐอเมริกา กับสโลแกนที่ตื่นตาตื่นใจผู้ชอบการชอปปิ้งเป็นอย่างมาก Shop Like a Billionaire หรือชอปปิ้งเหมือนมหาเศรษฐี โดยในที่นี่แบรนด์เองต้องการจะสื่อว่า สินค้าในแอปนั้นมีราคาถูก ที่ผู้ซื้อจะสามารถจับจ่ายใช้สอยได้จำนวนเยอะ และมีทางเลือกมากขึ้นในการซื้อ เรียกว่าอำนาจการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรัวๆ
Temu มีโมเดลธุรกิจ ที่ผู้ซื้อสามารถซื้อสินค้ากับผู้ผลิตได้โดยตรง ราคาที่ได้นั้นก็จะเป็นราคาที่ไม่ผ่านคนกลางเป็นราคาโรงงาน มีวิธีการรวมคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อต่างๆ เป็นลอตใหญ่ ซึ่งการซื้อของในลักษณะมีข้อเสียอยู่คือทำให้การจัดส่งล่าช้าไปบ้าง แต่ก้ยังมีข้อดีตรงที่สามารถตัดราคาที่เป็นในส่วนของพ่อค้าคนกลางออกไปได้เลย เรียกง่ายๆคือราคาถูกมากๆนั่นเอง
หลังจากเปิดตัวได้ไม่นาน โดยที่ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปี ก็มีผู้ใช้งานรายเดือน 51 ล้านคน เทียบกับยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ที่ใช้เวลากว่าหลายสิบปีที่กว่าจะมีฐานผู้ใช้ 67 ล้านคน
ปัจจุบัน Temu เปิดให้ใช้งานไปแล้วหลายประเทศทั่วโลก และประเทศไทยคือประเทศล่าสุดที่ Temu จะเข้ามาตีตลาดแบบเชิงรุก ขายสินค้าราคาถูกที่ส่งตรงจากจีน
แต่ยังคงมีข้อกังขาที่สินค้าของ Temu นั้นถึงแม้ว่าจะถูกจริง แต่เรื่องคุณภาพจะได้คุณภาพตามมาตรฐานที่ลูกค้าหรือผู้บริโภคต้องการจริงหรือไม่? อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Temu ไม่สามารถทำกำไรได้จากการขายสินค้าออนไลน์ โดยข้อมูลจาก WIRED ประเมินไว้ว่า Temu ขาดทุนเฉลี่ยประมาณ 30 ดอลลาร์ต่อออเดอร์ และอาจจะขาดทุนเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ต่อปีเลยทีเดียว