จีนปรับสู่ยุค “Smart City” เทคโนโลยีดิจิทัลเต็มรูปแบบ ใครปรับตัวไม่ทันได้รับผลกระทบเต็มๆ

เมื่อประเทศจีน มีแผนพัฒนาเมืองเป็นรูปแบบ “Smart City” ซึ่งเป็นการใช้ดิจิตัลแบบเต็มรูปแบบ เพื่อยกคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวเมืองให้ดีขึ้น และให้เป็นไปในทิศทางก้าวกระโดด เราจึงมักเห็นบริการมากมายในประเทศจีนที่เป็นรูปแบบดิจิตัลมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ คนที่อาศัยอยู่ และยังปรับตัวไม่ทัน ได้รับผลกระทบอย่างมาก อย่างเช่น การที่จีนใช้แท็กซี่ไร้คนขับ ทำให้คนขับแท็กซี่นั้นตกงานอย่างเห้นได้ชัด และยิ่งแย่กว่านั้นถ้าเกิดว่าแผนที่วางไว้ ว่าจะใช้แท็กซี่ไร้คนขับลุล่วงไปด้วยดี จะทำให้คนขับแท็กซี่ 10 ล้านกว่าคนในจีนตกงานทันทีเช่นกัน

เพราะระบบเอไอที่เข้ามาใช้แทนคนขับแท็กซี่นั้น อาจจะเอื้อประโยชน์ต่อเจ้าของบริษัท ที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องคน ที่อาจจะขาดงาน ลา หรือมาสาย จนถึงแม้กระทั่งความเจ็บป่วยด้วยซ้ำ อีกทั้งระบบเอไอพวกนี้ก้ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดพัก ทำให้เจ้าของบริษัทเล็งเห็นว่าแรงคนนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป

การปรับเปลี่ยนตัวตนให้ทันตามยุคสมัย จึงจำเป็นอย่างมาก ถึงแม้งานเก่าในยุคก่อนๆอาจจะไม่จำเป็นใช้แรงงานคน แต่ก็จะมีงานอื่นที่เข้ามาแทนที่ได้ และเป็นทางเลือกหนึ่งได้เช่นกัน เช่นอาชีพ KOL (Key Opinion Leader), Influencer, Youtuber ที่คนมักจะเชื่อใจคนเหล่านี้มากกว่าพนักงานขายแล้วด้วยซ้ำ เพราะคนสมัยนี้มักมุ่งซื้อของทางออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นเทคโนโลยีเอไอที่เกิดขึ้นนั้น จึงเหมาะกับคนที่สามารถเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวตนของตนให้เข้ากับยุคสมัยขณะนั้น พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาตนเองอยู่เสมอๆ

อยาลืมว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะการเปลี่ยนแปลงของโลกจากเดิมที่เน้นการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ ธุรกิจที่ไปได้ดีก็มักเป็นสัมปทานด้านการขุดค้นแร่ธาตุต่างๆ ก่อนจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม พลังงาน และเทคโนโลยี จนถึงยุคดิจิทัลในทุกวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะปรับตัวไปทางใด ก็ล้วนเป็นหนทางเพื่ออยู่รอดและเติบโตต่อไปให้ได้ และคนในองค์กรก็ต้องเรียนรู้ ที่จะปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

Press ESC to close