เนื่องจากปัจจุบันการทำการตลาดในจีนนั้น มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ต่างแบรนด์ต่างสร้างตัวตนกันบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดจีนถือเป็นตลาด E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก และเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดแห่งหนึ่ง ที่สำคัญบริโภคชาวจีนให้ความสำคัญต่อความสะดวกสบายมากขึ้น ประหยัดเวลาและรวดเร็ว ดังนั้น แพลตฟอร์มหรือช่องทางออนไลน์ที่ประเทศจีนจึงได้รับความนิยมอย่างมาก
จากผลสำรวจพบว่าปัจจุบันผู้บริโภคชาวจีนหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ถึง 58% ซื้อสินค้าทั้ง 2 ช่องทาง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ 26% และช่องทางออฟไลน์ 17% ดังนั้นฝั่งเจ้าของแบรนด์ต่างหันมาเน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง โดยพวกเขาเน้นที่จะเลือกใช้ Influencers Marketing, Social Media และ E-commerce
และเนื่องจากคนจีนไม่ใช้แอพหรือแพลตฟอร์มอะไรที่เป็นต่างชาติเลย พวกเขานั้นใช้ของจีนหมด ดังนั้นในแต่ละแบรนด์เองก็ต้องมองให้ออกว่า คนจีนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์นั้น ชอบอะไร บางทีรสนิยมอาจจะต่างกับกลุ่มในไทย หรือการใช้อาจมีวิธีที่แตกต่างกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเทศจีนจะเน้นกันใช้ในรูปแบบใด อีกทั้งแบรนด์ยังต้องวิเคราะห์ว่าเราจะต้องทำอย่างไรให้โดดเด่นในแพลตฟอร์มนั้นๆ เพราะแต่ละแพลตฟอร์มหรือแอพของจีนนั้นก็มีจุดยืนที่ต่างกัน
ส่วนมากแบรนด์ที่ต้องการตีตลาดในจีนยังเจออุปสรรค ปัญหาหลักๆ
- ลูกค้ายังไม่มีความเข้าใจตลาดจีน : ยังมองกลุ่มเป้าหมายในไทย เหมือนกับจีน หรือมองความต้องการเดียวกัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่
- ไม่เข้าใจภาษา : คิดว่าบางครั้งมีล่ามแปลก็ง่าย แต่จริงๆแล้วเจ้าของแบรนด์ควรมีความรู้ภาษาจีนอยู่บ้าง
- ไม่เข้าใจเรื่องกฎหมายจีน : ข้อนี้สำคัญมาก เราะเป็นข้อกฎหมายที่ต่างกับเรา อะไรโฆษณาไม่ได้ หรืออะไรที่มีส่วนผสมในสินค้าไม่ได้นั่นเอง
สำหรับคนที่จะเริ่มตีตลาดจีนอย่างแรกเลยคือ การวางแผน ตัดสินใจศึกษาตลาดนี้ให้ดีก่อน ว่าสินค้าหรือบริการเหมาะสมกับตลาดจีนจริงหรือไม่? และค่อยๆหาที่ปรึกษา ที่มีความรู้ด้านนี้ แล้วจึงค่อยหาหาทีมงาน
ถึงแม้จะยากในการตัดสินใจบุกตลาดจีน แต่แบรนด์กว่าครึ่งค่อนในไทย อยากที่จะไปตลาดจีนมาก เพราะจีนก็ยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่และดึงดูด ประชากรหนาแน่น เศรษฐกิจในจีน GDP ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งคนจีนมองว่าสินค้านำเข้าเป็นสินค้าที่ดี โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่คนจีนนิยมซื้อสินค้าจากไทยอีกด้วย