ในเรื่องของ “เศรษฐกิจ” ที่ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมาเสมอ แต่นับวันมันยิ่งมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาที่จีนผลิตสินค้าออกมาล้นตลาด เกินความจำเป็นของตลาด ทำให้ต้องผลักดันสินค้าเหล่านั้นออกต่างประเทศในราคาที่ถูก เพื่อเคลียร์สต็อคให้สินค้าถูกส่งออก และยิ่งในด้านของอีคอมเมิร์ชแพลตฟอร์มต่างๆที่เข้ามาของจีน ทำให้สินค้าจีนถูกผลักดันเข้ามาในไทยมากยิ่งขึ้น และถ้าวันหนึ่ง Temu เข้ามาในราคาที่สินค้าถูกลงอีกแล้วละก็ ประเทศไทยก็จะยิ่งเพิ่มสินค้าที่มาจากจีนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
อย่างที่สองคือเรื่องของ “ธุรกิจ” SME รายย่อยของไทยก็จะถูกผลกระทบอย่างหนัก หรือบางรายอาจจะเจ็งไม่เป็นท่าก็ได้ ถึงแม้ว่าไทยเองจะมีการเก็บภาษีเพิ่มก็ตาม แต่ในเมื่อราคาสินค้าจากจีนราคายังต่ำกว่าสินค้าไทยอยู่มาก ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคไทยได้อย่างไม่ยาก และในเรื่องของการทำการตลาดของผู้ขายจากจีนที่มีทั้งส่วนลด โปรโมชันที่โดนใจ หรือแม้กระทั่งการทำการทำตลาดของ Temu เองที่ทุ่มเงินกระหน่ำยิงแอด ส่งผลให้ต้นทุนโฆษณาสูงขึ้นด้วย คนที่ใช้ระบบการยิงแอด ก็ต้องจ่ายอัตราค่าโฆษณาในอัตราที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้ารายใหม่ๆ เช่นกัน
และเรื่องสุดท้าย “เทคโนโลยี” หรือการเข้าถึงความเป็นส่วนตัวของข้อมูล หรือทางด้านความปลอดภัยนั่นเอง ติดตรงที่ตัวแอปฯ เวอร์ชันที่อยู่นอก Play Store มีลักษณะการทำงานที่คล้ายกับมัลแวร์ โดยแอปฯ นี้ได้ใช้วิธีการ Zero-day แฮกข้อมูลของผู้ใช้งาน เพื่อเข้าถึงและรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ อย่างกรณีข่าวดังเมื่อปีที่แล้วที่ Pinduaduo เป็นข่าวดังมีดราม่า จน Google ระงับการใช้แอปฯ ถึงขั้นปักธงแดงเปลี่ยนสถานะแอปฯ ให้เป็นมัลแวร์
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า Temu ไม่ได้แค่ขายสินค้าราคาถูกเพื่อตัดราคาเท่านั้น แต่วิธีการดำเนินธุรกิจยังสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจ และความปลอดภัยทางเทคโนโลยี จึงทำให้วงการธุรกิจต่างจับตามองว่าการเข้ามาบุกตลาดไทยของ Temu นั้น จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อวงการธุกิจไทยเช่นไร